ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ คือแผ่นฟิล์มบางที่ผลิตจากพลาสติกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) หรือโพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Polyethylene Terephthalate หรือ PET) ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียว ใส เรียบ และทนทานต่อสภาพอากาศ ฟิล์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อติดบนกระจกรถยนต์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการลดความร้อนจากแสงแดด ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และลดแสงจ้าที่เข้าสู่ห้องโดยสาร โดยปัจจุบันได้รับความนิยมสูงมากเพราะนอกจากจะสามารถป้องกันความร้อนได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่นการป้องกันความร้อนจากรังสีอินฟาเรด การลดแสงสะท้อนในห้องโดยสาร

ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงบนรถยนต์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้:

1. ลดความร้อนภายในรถ

ฟิล์มกรองแสงช่วยลดปริมาณความร้อนจากแสงแดดที่เข้าสู่ห้องโดยสาร ทำให้อุณหภูมิภายในรถเย็นขึ้น และลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งส่งผลให้ประหยัดพลังงานและเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตฟิล์มมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นตามไปด้วย

2. ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต หรือยูวี (UV)

ฟิล์มกรองแสง สามารถป้องกันรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหนัง เช่น ฝ้า กระ และมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการซีดจาง และเสื่อมสภาพของวัสดุภายในรถ เช่น เบาะและคอนโซลรถ

3. เพิ่มความเป็นส่วนตัว

ฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มสูง (ค่าแสงผ่านน้อย) ช่วยลดการมองเห็นจากภายนอก ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกปลอดภัยเป็นส่วนตัวมากขึ้น

4. เพิ่มความปลอดภัย

ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ฟิล์มกรองแสง สามารถช่วยยึดเศษกระจกไม่ให้กระจัดกระจาย ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผู้โดยสาร เรียกได้ว่าคล้ายฟิล์มกึ่งนิรภัยไปในตัว

5. ลดแสงจ้าในห้องโดยสาร

ฟิล์มกรองแสงช่วยลดแสงจ้าที่เข้าสู่ห้องโดยสาร ทำให้การขับขี่ในช่วงแดดจัดจะช่วยให้สบายตา และปลอดภัยยิ่งขึ้น

สรุป: จำเป็นแค่ไหนที่ต้องติดฟิล์มกรองแสง?

การเลือกติดฟิล์มกรองแสงจึงจำเป็นมากกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะป้องกันความร้อนแล้ว ยังมีเรื่องของความปลอดภัยอีกด้วย และวิธีการเลือกฟิล์มที่เหมาะสมกับการใช้งานยังไง..

อ่านต่อได้ที่นี่ …(3)ฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีกี่ประเภท? เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย